สิว Acne
เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วบริเวณรูขุมขน จนเกิดการอักเสบ บวมแดง หรือมีหนอง ส่วนมากจะเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก ไหล่ หรือหลัง การเกิดสิวพบมากในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยทั่วไปสิวมักจะหายไปหรือทุเลาลงเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว
- ฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ เนื่องจากฮอร์โมนเพศชาย (androgens) จะกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันภายในรูขุมขน ให้ผลิตไขมันออกมามากเกิน ร่วมกับภาวะอุดตันของรูขุมขน จึงเกิดการคั่งของไขมัน นำไปสู่การเกิดสิวได้
- ยา ยาบางชนิดเช่น สเตียรอยด์ ทำให้เกิดสิวได้ โดยเฉพาะสิวที่ขนาดเท่ากันบริเวณอกและหลัง
- กรรมพันธุ์ พบว่าถ้าครอบครัวที่พ่อหรือแม่เคยเป็นสิว ลูกก็มีโอกาสเป็นสิวได้มากกว่าคนทั่วไป
- อาหาร อาจส่งผลให้เกิดสิวได้ง่ายเช่น อาหารรสจัด เผ็ดจัด ของทอด ขนมปัง ช็อคโกแลต ฯลฯ
- การพักผ่อน พบว่าคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
ความเครียด อาจส่งผลกับการหลั่งฮอร์โมน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดสิวได้
สิวในมุมมองของแพทย์จีน
สิว หมายถึง ความผิดปกติของอวัยวะภายใน ในลักษณะของ “ร้อนเกิน หรือ หยางเกิน“ เป็นเหตุให้ระบบต่างๆในร่างกาย การไหลเวียนของเลือด ลม และพลังชี่ ติดขัด ร่วมกับการมีเสมหะคั่งค้าง เป็นเหตุให้เกิดสิว ความผิดปกติในแต่ละอวัยวะ ทำให้เกิดสิวที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน
ลักษณะของสิวชนิดต่างๆ
- สิวผื่นเม็ดเล็กๆ
เกิดจากปอดมีความร้อนมากเกินไป มักจะมีสิวเกิดที่จมูกและหน้าผาก มีลักษณะเป็นสิวผื่นเม็ดเล็กๆ หรือสิวหัวดำ ร่วมกับอาการปากแห้ง คอแห้ง กระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา
วิธีการรักษา : โดยการฝังเข็มที่เส้นลมปราณปอด เพื่อลดและระบายความร้อนของปอด
- สิวตุ่มนูน อักเสบ
เกิดจากกระเพาะอาหารมีความร้อนมากเกินไป เนื่องจากการกินอาหารที่สะสมความร้อนเช่น ของมัน ของทอด ปิ้งย่าง อาหารรสจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด อาหารย่อยยาก ทานอาหารอิ่มมากเกินไป หรือมีไขมันมากเกินไป จนทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนัก ประสิทธิภาพการย่อยลดลง มักจะเกิดสิวแบบอักเสบ มีน้ำใสๆ เป็นตุ่มนูนอักเสบ มักจะเกิดขึ้นรอบๆปาก หรือกระจายทั่วใบหน้า และอาจมีอาการปากเหม็นร่วมด้วย
วิธีรักษา : โดยการฝังเข็มเส้นลมปราณกระเพาะอาหาร ร่วมกับการปรับพฤติกรรมการกินอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสม
- สิวที่คาง
เกิดจากม้ามอ่อนแอ และมีความชื้นสะสม
วิธีการรักษา : นอกจากจะฝังเข็มที่เส้นลมปราณม้ามแล้ว อาจจะต้องรับประทานยาสมุนไพรอื่นๆเพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของม้ามและช่วยบำรุงม้ามด้วย
- สิวอักเสบตามร่างกาย อกและหลัง
สิวหัวหนอง สิวอักเสบ ที่เกิดขึ้นบริเวณอกและหลัง เกิดจากภาวะเลือดคั่ง เลือดร้อน ขาดความสมดุลของฮอร์โมน มักจะเป็นซ้ำๆ และกระจายเป็นบริเวณกว้าง มักเกิดในวัยรุ่น
วิธีการรักษาแบบแพทย์แผนจีน :
การฝังเข็มรักษาสิว( Acupuncture for Acne )จะใช้เข็มขนาดเล็กกว่าเข็มที่ฝังบริเวณร่างกาย โดยทั่วไปก็จะฝังเข็มไปรอบๆบริเวณใบหน้าตามจุดฝังเข็มหลักที่อยู่บนเส้นลมปราณบริเวณใบหน้า และ เพิ่มจุดที่รอบๆหัวสิว การฝังเข็มช่วยลดการอักเสบ และทำให้สิวยุบได้เร็วยิ่งขึ้น ปกติจะใช้ปริมาณเข็มราวๆ30-40 เล่ม ควเข็มทิ้งไว้ 30 นาที จึงถอนเข็มออก หลังจากถอนเข็มออก จะไม่เห็นรอยเข็ม เพราะเข็มที่ฝังนั้นเล็กมาก ในระหว่างการฝังเข็มผ่านผิวหนัง จะมีอาการเจ็บเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องทายาชา สำหรับการฝังเข็มสิวนั้น แนะนำว่าควรได้รับการฝังเข็มอย่างต่อเนื่อ ประมาณสัปดาห์ละ2-3ครั้ง หรือจนกว่าสิวจะหายไป ร่วมกับการงดรับประทานของแสลงต่างๆ เช่น อาหารมันจัด เผ็ดจัด ขนมปัง นม อาหารปิ้งย่าง ฯลฯ เป็นต้น
การเจาะปล่อยเลือด ( Blood letting )เนื่องจากสาเหตุของการเกิดสิว ตามหลักการแพทยืแผนจีน จะเกี่ยวข้องกับภาวะ “หยางเกิน”หรือ “ร้อนเกิน” จึงมีการรักษาแบบการเจาะปล่อยเลือดที่บริเวณจุดฝังเข็มสำคัญบริเวณต้นคอ เรียกว่า “จุดต้าจุย” จุดนี้เป็นจุดศูนย์รวมของหยางทั้งร่างกาย การระบายความร้อนโดยการเจาะปล่อยเลือดนั้น แพทย์จะใช้เข็มแทงไปที่จุดนี้ และใช้แก้วครอบ ทำให้มีเลือดไหลซึมออกมาปริมาณเล็กน้อย จะช่วยระบายความร้อนภายในร่างกาย พบว่าวิธีนี้หากใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ จะเสริมประสิทธฺการรักษาสิวให้หายเร็วยิ่งขึ้น
ฝ้า (MELASMA)
พูดถึงฝ้าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ฝ้าเกิดจาดความผิดปกติของการสร้างผิวของผิวหนังในบางแห่งและเป็นเฉพาะบางคนเท่านั้น แต่โดยมากแล้วฝ้ามักจะเกิดในคนผิวขาวมากกว่าคนผิวคล้ำหรือผิวดำ ฝ้าเกิดได้หลายๆที่บนใบหน้าเนื่องจากผิวหนังที่หน้ามีเซลล์สร้างสีผิวมากกว่าบริเวณอื่นๆ และโดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้มและสันจมูกจะเป็นบริเวณที่มีฝ้าเกิดขึ้นได้บ่อยเนื่องจากเป็นบริเวณที่ถูกแดดที่สุด ฝ้าพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มีปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้เป็นฝ้าง่ายขึ้นและทำให้คนที่เป็นฝ้าเป็นมากขึ้นด้วย
ทำไมสีผิวของคนเราแตกต่างกัน
ผิวหนังจะมีสารสำคัญที่ทำให้เกิดสีผิว คือ เม็ดสีเมลานิน (melanin) ซึ่งเม็ดสีนี้เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันผิวหนังจากการทำลายของแสงแดดไม่ให้ผิวเกิดการแดงหรือไหม้เกรียมจากการถูกแดดเผา (sunburn) เพราะเม็ดสีของเมลานินจะช่วยดูดซับแสงในช่วงแสงที่มองเห็น (Visible light : 400-700 nm) และแสงอุลตร้าไวโอเลต เอ และบี ไว้ได้ (Ultraviolet A:320-400 nm, Ultraviolet B: 290-320 nm)
สีผิวหนังของคนเราเป็นผลรวมของสี3 สีคือ
- สีน้ำตาล จาก melanin
- สีแดง จาก deoxygenated hemoglobin
- สีเหลือง จาก carotene
สีผิวที่ผิวหนังเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
สีผิวหนังเกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) ซึ้งอยู่ในชั้นล่างสุดของหนังกำพร้า (basal cell layer) สร้างเม็ดสีที่เรียกว่าเมลานิน (melanin) เมื่อสร้างแล้วเม็ดสีจะถูกส่งให้เซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าที่เรียกว่า keratinocyte ที่อยู่ส่วนบนสุดของผิวหนังต่อไป
ขบวนการสร้างสีผิวนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์มารดา และเกิดต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ในขบวนการสร้างเม็ดสีจะต้องอาศัยเอ็นไซม์ที่สำคัญตัวหนึ่งคือ เอ็นไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดสี เอ็นไซม์นี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีต่าง ๆ ที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน เพื่อที่จะเปลี่ยน tyrosine ซึ่งจะเป็นกรดอะมิโนในผิวหนัง ให้กลายเป็นเป็นเม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน เมื่อเปลี่ยนเทียบส่วนต่างๆของร่างกายจะพบว่าจำนวนเซลล์สร้างเม็ดสีจะแตกต่างกันคือ ที่ใบหน้าจะเป็นบริเวณที่มีเซลล์สร้างเม็ดสีหนาแน่นที่สุดส่วนที่ลำตัวและแขนจะมีเซลล์สร้างเม็ดสีน้อยลงตามลำดับ ในคนผิวดำหรือคนผิวขาวจะมีจำนวนเซลล์สร้างเม็ดสีไม่แตกต่างกัน แต่การทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสีในคนผิดำจะมากกว่า ขนาดของเซลล์จะโตกว่าและสัดส่วนของเม็ดสีภายในเซลล์จะมากกว่าคนผิวขาว
กระบวนการสร้างเม็ดสีจะมีขั้นตอนต่างๆมากมายจึงเกิดเม็ดสีขึ้นดังนั้นหากมีความผิดปกติของขั้นตอนหนึ่งก็จะทำให้เกิดความผิดปกติของสีผิวด้วย เช่น ถ้ามีปัจจัยใดก็ตามที่กระตุ้นการทำงานเอ็นไซม์ไทโรซเนสมากขึ้น ก็ทำให้มีการสร้างเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวเข้มข้น แต่หากถูกกระตุ้นมากขึ้นจนเสียสมดุลย์ของการสร้างเมลานินก็จะทำให้เกิดมีการผลิตเมลานินมากขึ้นเกิดไปจนเกิดเป็นฝ้า กระ หรือจุดด่างดำที่ผิวหนังขึ้นได้ แต่ในทางกลับกัน หากเซลล์สร้างเม็ดสีไม่สามารถสร้างเอ็นไซม์ไทโรซิเนสก็จะทำให้เกิดความผิดปกติของสีผิวปกติของสีผิวแบบ “Hypopigmentation” เช่นโรคด่างขาว เป็นต้น
สาเหตุของการเกิดฝ้า
- แสงแดด
เชื่อว่าแดดเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดในการเกิดฝ้า เมื่อผิวหนังถูกแสงแดดรังสีอุลตร้าไวโอเลตจะกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนสมากขึ้น ทำให้มีการสร้างเม็ดสีมากผิดปกติจนเกิดฝ้า กระ หรือรอยด่างดำมากขึ้นได้
- ฮอร์โมน
ฮอร์โมนบางอย่างทำให้เกิดฝ้าหรือทำให้ที่เป็นอยู่เข้มมากขึ้น โดยมากมักพบในคนตั้งครรภ์ หรือคนที่รับประทานยาคุมกำเนิดและอาจพบในคนที่เป็นธัยรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidsm) ผิวหนังทั่วร่างกายจะมีสีคล้ำมากขึ้น
- ยารับประทาน
มียาหลายชนิดที่รับประทานแล้วทำให้เกิดฝ้าได้ เช่น ยากันชัก diphenylhydantoin, mesantoin เป็นต้น
- เครื่องสำอาง
บางคนเกิดการแพ้ส่วนผสมต่างๆ ในเครื่องสำอาง เช่น น้ำหอม , สี , สารกันเสีย ทำให้เกิดเป็นรอยด่างดำแบบฝ้าได้
- การขาดอาหาร
การขาดสารอาหารบางอย่างทำให้มีสีผิวคล้ำขึ้นได้ เช่น กรด Folic , วิตะมินแอ , วิตะมินซี หรือ วิตะมินบี 12 เป็น
- พันธุกรรม
คนในครอบครัวเดียวกันมีโอกาสเกิดฝ้าได้ถึง 30- 50 % และพบว่าฝ้ามักเกิดในคนเอเชีย ซึ่งอาจเกิดจากอิทธิพลของพันธุกรรมหรืออาจเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อม และแสงแดด ก็เป็นได้
ชนิดของฝ้า
- ฝ้าที่อยู่ในชั้นหนังกำพร้าหรือชนิดตื้น (Epidermal type)
- ฝ้าที่อยู่ในชั้นหนังแท้หรือชนิดลึก(Dermal type)
- ฝ้าแบบผสม (Compound type)
การแยกชนิดของฝ้าทำได้โดยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood’s lamp ส่องไปที่ใบหน้า หากฝ้าชัดขึ้นแสดงว่าเป็นฝ้าชนิดแรกคือชนิดตื้น แต่ถ้าเป็นชนิดลึกจะไม่พบการเปลี่ยนแปลง บางคนอาจเป็นฝ้าทั้ง 2 ชนิด คนที่มีฝ้าชนิดตื้นจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าคนที่มีฝ้าอยู่ในชั้นหนังแท้ จึงมีโอกาสหายได้เร็วกว่าคนที่มีฝ้าชนิดลึก
วิธีการรักษาฝ้า
1.ยารักษาฝ้า
ยารักษาฝ้ามีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ละชนิดจะออกฤทธิ์ในการรักษาฝ้าแตกต่างกัน ในการรักษาฝ้าแพทย์อาจจะใช้ยาร่วมกันหลายๆอย่าง เพื่อให้ฝ้าหายเร็วขึ้นยาบางอย่างหากใช้ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมอาจเกิดผลข้างเคียงอื่นๆตามมาได้ เช่น หน้าลอก , หน้าแดง , ผิวหน้าบางลง หรือหน้าดำคล้ำมากกว่าเดิม ยาหลายๆตัวที่มีในท้องตลาดและไม่ควรนำมาใช้ในการรักษาฝ้า เช่น
ครีมไข่มุก
ในสมัยก่อนคุณอาจจะเคยได้ยินครีมที่มีชื่อว่า “ครีมไข่มุก” ซึ่งเป็นครีมที่ใช้ทาฝ้าในสมัยก่อน ทำให้ฝ้าจางลงหน้าขาวขึ้น ซึ้งสาระสำคัญในครีมนี้ก็คือ สารปรอท (Ammoniated mercury) มีลักษณะเป็นผงสีขาวไม่ละลายน้ำ ไม่ละลายในแอลกอฮอล์ สารนี้ทำให้ฝ้าจางลงได้เนื่องจากมีสารปรอทซึ่งไปรบกวนการทำงานของเอ็นไซม์ที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีและยังสามารถทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีอย่างถาวรได้ หากใช้ครีมนี้เป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้เกิดด่างขาวบริเวณที่ทาได้ นอกจากนี้อาจจะทำให้ฝ้าที่เป็นอยู่ดำคล้ำมากกว่าเดิม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสารปรอทมีการสะสมอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้เห็นเป็นรอยดำขึ้น และที่อันตรายมากกว่านั้นก็คือถ้าสารปรอทถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณสูงจะทำให้เกิดพิษต่อไตได้ ในปัจจุบันจึงมีกฎหมายห้ามใช้สารปรอทผสมในครีมทาฝ้าแล้ว
ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone)
ในการรักษาฝ้าจะมีความเข้มข้นตั้งแต่ 2-5 % ออกฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีโดยลดการสร้างเม็ดสี ยานี้มีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้าได้ดี แต่หากใช้ยานี้ในความเข้มข้นสูงๆ ทำให้มีอาการแดงได้ และอาจจะมีการทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีทำให้เกิดด่างขาวได้ การใช้ยานี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้มาก หากใช้ไม่ถูกต้อง นอกจากนั้นแล้วฝ้าจางลงและต้องการจะหยุดยา ก่อนจะเลิกใช้ต้องมีการปรับยาให้เหมาะสมเสียก่อนจึงจะเลิกใช้ยาได้ เพราะถ้าหยุดใช้ทันทีอาจทำให้หน้าคล้ำขึ้นได้
กรดวิตะมินเอ (Retinoic acid)
เช่น tretinoin ออกฤทธิ์ โดยเร่งให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนที่มีเมลานินหลุดลอกออก โดยใช้ความเข้มข้นตั้งแต่ 0.01-0.05 % มักใช้ร่วมกับยาอื่นๆเพราะหากทายาชนิดนี้เพียงอย่างเดียวจะให้ผลช้า ยานี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้มีอาการระคายเคืองหรือทำให้หน้าแดงได้
ยาสเตียรอยด์ (Steroid)
ครีมทาฝ้าบางชนิดจะมีสารพวกสเตียรอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงทำให้บริเวณที่ทายานี้ขาวขึ้นได้ ยาประเภทนี้มีความแรงหลายระดับและความเข้มข้นต่างๆกัน การทายานี้นานๆหรือทายาประเภทนี้ที่มีฤทธิ์แรง จะทำให้เกิดผลข้างเคียงมากเช่น เกิดสิว , ผิวหน้าบาง , บริเวณที่ทาอาจมีขนยาวกว่าปกติ หรือมีเส้นเลือดฝอยขยายบริเวณที่ทายาได้
ยาอื่นๆ (Miscelleneous)
- 20 % Azelaic acid cream ได้ผลในการรักษาฝ้าใกล้เคียงกับยาไฮโดรควิโนน แต่ใช้เวลานานหลายเดือน และอาจเกิดอาการระคายเคือง เช่น แสบหรือคันบริเวณที่ทา แต่หากใช้ต่อเนื่องอาการเหล่านี้ก็จะหายไป
- AHA เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนที่ตายแล้วหลุดออกจึงทำให้ฝ้าจางเร็วขึ้น มักใช้ร่วมกับยาฝ้าชนิดอื่นๆเพราะช่วยให้ฝ้าชนิดอื่นๆออกฤทธิ์หรือซึมเข้าผิวหนังได้ดีขึ้น
- Kojic acid ใช้เป็นยารักษาฝ้า มีทั้งที่เป็นครีมและชนิดที่เป็นสารละลายใส ความเข้มข้นประมาณ 1-2 % ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนส ทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานินลดลง
- Arbutin cream ความเข้มข้น 3-7 % ได้มีการนำเอาสารชนิดนี้ผสมเครื่องสำอางเพื่อทำให้ผิวขาวขึ้น Whitening cosmetic products เช่นเครื่องสำอาง Shiseido ซึ่งสารนี้คือ Hydroquinone derivatives ซึ่งออกฤทธิ์ ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซิเนส ทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานินลดลง
- Licorice cream ความเข้มข้น 0.1 % สารออกฤทธิ์ที่สำคัญคือ glabridin ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไทโรซเนสและเอ็นไซม์อื่น (Dopachrome tautomerase) ทำให้สร้างเม็ดสีเมลานินลดลง
- Vitamin C derivatives คือสารที่มีชื่อว่า ascorbyl magnesium phosphate หรือที่เรียกย่อๆว่า VC-PMG ความเข้มข้น 3 % มีทั้งที่เป็นครีม โลชั่นและสารละลายใส ได้มีการนำเอาสารชนิดนี้ผสมในเครื่องสำอางเพื่อทำให้ผิวขาวขึ้น Whitening cosmetic products เช่นเครื่องสำอาง Shiseido , Kose , Pola , Avon ฯลฯ ออกฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินและอนุมูลอิสระ และช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้ริ้วรอยย่นลดน้อยลงด้วย ปัจจุบันได้มีการนำเอาเครื่องมือที่สามารถแยกประจุ (+/- ) มาใช่ร่วมกับยา VC-PMG ในการรักษาฝ้า เรียกวิธีนี้ว่า Iontophoresis เนื่องจากผง VC-PMG สามารถลัลายน้ำและแตกตัวป็นอิออนบวกและอิออนลบ เครื่องมือนี้จะช่วยให้ยาเข้าสู่เซลล์ผิวหนังได้โดยตรง และออกฤทธิ์ในการรักษาให้จางเร็วขึ้น
2.การฝังเข็มรักษาฝ้า
เป็นการฝังเข็มบริเวณผิวหน้า ซึ่งเป็นเข็มชนิดพิเศษ และมีขนาดเล็กกว่าเข็มที่ฝังบริเวณอื่นๆ โดยทั่วไปแพทย์จะฝังเข็มล้อมบริเวณที่เป็นฝ้า เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการซ่อมแซม และเพิ่มการไหลเวียนของระบบเลือดและน้ำเหลืองที่บริเวณนั้น เป็นวิธีการรักษาโดยกลไกธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งคล้ายกับการเกิดรอยดำทั่วไป ร่างก่ยก็มีกลไกในการรักษาตัวเอง ทำให้รอยเหล่านั้นจางหายได้เอง การรักษาโดยการฝังเข็มก็เช่นกัน เพียงแต่เข็มไปช่วยกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาซ่อมแซมตนเอง จึงทำให้ฝ้าจางหายไปได้ โดยมากแล้วจะฝังเข็มสัปดาห์ละ1-2ครั้ง ต่อเนื่องประมาณ10ครั้ง แพทย์อาจฝังเข็มบริเวณอื่นๆด้วย เพื่อปรับสมดุลของอวัยวะภายในที่เสียสมดุลไป ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้การไหลเวียนของระบบเลือดและน้ำเหลืองผิดปกติ