บริการด้านธรรมชาติบำบัด

โฮ มีโอพาธีย์

 โฮ มีโอพาธีย์เป็นศาสตร์การแพทย์ที่มีมาประมาณ 200 ปีแล้ว ไม่ใช่การแพทย์ทางเลือกใหม่แต่อย่างใดในโลกนี้ แต่อาจจะใหม่มากสำหรับประเทศไทย ประเทศในเอเซียที่ใช้อยู่ เช่น อินเดีย ศรีลังกา มาเลเซีย ญี่ปุ่น เป็นต้น

การรักษาด้วยธรรมชาติบำบัด โฮมิโอพาธีย์ (Homeopathy)

Homeopathy (การรักษาด้วยธรรมชาติบำบัด)

 

โฮมิโอพาธย์ ธรรมชาติบำบัด

 

Homeopathy

เป็นการรักษาด้วยธรรมชาติบำบัด ตามแนวของ ที เอ็น ซี เพื่อกระตุ้น และส่งเสริมการรักษาอาการเจ็บป่วยจากต้นเหตุด้วยตัวของคุณเอง ทำให้สามารถกลับมาดำรงชีวิต อย่างมีสุขภาพดีมีคุณภาพ ลดอัตราการเสี่ยงของความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้ จึงเป็นการแพทย์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้ ทั้งในยุโรปและอเมริกา เหมือนกับ การฝังเข็ม การกดจุดบำบัดโรค หรือ แม็คโครไบโอติก ซึ่งการรักษา Homeopathy ก็ได้ผ่านการรับรองแล้วจากทั้งใน ต่างประเทศ และในประเทศไทยในขณะนี้ ซึ่งในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณะสุข กองการแพทย์ทางเลือกกำลังผลักด้นการรักษาในแขนงนี้ให้นำมาใช้

 

หลักการรักษาโรค

  • เชื่อว่าร่างกายของเราสามารถรักษาตัวเองได้
  • พิษล้างพิษโดยอาศัยหลักที่ว่าหากโรคของคุณมีอาการอย่างไรก็จะใช้พืช หรือสารที่มาจากสัตว์ที่ก่อให้เกิดอาการเหมือนกันมารักษาโรค เช่น หากคุณเป็นหวัด น้ำตา น้ำมูกไหลจะใช้หอมหัวใหญ่มาใช้รักษา
  • ให้ยาหนึ่งครั้งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การรักษาจะไม่ให้ยาต่อเนื่อง แต่จะให้ยาเพียงครั้งเดียวเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต่อโรค
  • ให้ยาแต่น้อย การให้การรักษาจะให้แต่น้อยเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายรักษาตัวเอง
  • ยายิ่งเจือจางยิ่งให้ผลการรักษาดี โดยเฉพาะยาที่เป็นน้ำยิ่งเจือจางยิ่งให้ผลดี และมีผลข้างเคียงต่ำ บางครั้งเจือจางจนไม่เหลือสารเคมีในสารละลายนั้น กลไกการออกฤทธิ์เชื่อว่า การเขย่าแรงๆจะทำให้เกิดคลื่นพลังแม่เหล็กจากสารเคมีนั้นซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษา
  • การรักษาจะรักษาเป็นบุคคลซึ่งนอกจากคำนึงถึงอาการ วิธีชีวิต สภาพจิตใจ อารมณ์ สภาพการรับประทานอาหาร

 

โฮมิโอพาธีย์พิชิตโรคเรื้อรัง

โฮมีโอพาธีย์เป็นแนวทางการรักษาภูมิแพ้และโรคเรื้อรังที่ใช้พลังของสมุนไพรเข้าไปเพิ่มพลังชีวิต คือ ปรับธาตุให้อยู่ในสถานะสมดุล เราเชื่อว่าคนเกิดมาโดยธรรมชาติก็ต้องโตด้วยธรรมชาติแท้ แต่ทุกวันนี้การที่เด็กป่วยเป็นภูมิแพ้ และคนทั่วไปเป็นกันมากขึ้นเพราะเขามักอยู่กับธรรมชาติเทียม ไม่มีโอกาสเจอแดด เจอลม ไม่ได้เหยียบดิน หรืออาบน้ำในอุณหภูมิของธรรมชาติ เลยทำให้พลังชีวิตไม่สมบูรณ์ยิ่งหากป่วยแล้วเจอยาปฏิชีวนะก็จะยิ่งเพิ่มรอยบุ๋มให้พลังชีวิต หากเป็นนานๆ ก็มีโอกาสถ่ายทอดให้รุ่นต่อไปได้ 

โรคเรื้อรังที่ใช้โฮมีโอพาธีย์เป็นแนวทางในการรักษา เช่น โรคภูมิแพ้, ไซนัสอักเสบ, ปวดศีรษะ,ไมเกรน,โรคหัวใจ,ความดันโลหิตสูง,อ่อนเพลียเรื้อรัง,ไทรอยด์เป็นพิษ,โรคระบบทางเดินอาหาร,อารมณ์แปรปรวน,หงุดหงิดง่าย,ซึมเศร้า

 

ข้อแตกต่างของการรักษาโรคเรื้อรังแบบ Homeopathy และแพทย์แผนปัจจุบัน

รายละเอียด การรักษาแบบ Homeopathy การรักษาแบบแผนปัจจุบัน
แนวทางการรักษา เป็นการรักษาแบบองค์รวม คือครอบคลุมทั้งภาวะร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ รักษาตามอาการของโรค ซึ่งจะแยกตามอาการ และอวัยวะที่มีปัญหา
ลักษณะของยาที่นำมาใช้ในการรักษา ยาได้มาจากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ดอกไม้ สารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ เกลือ แร่ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ สังเคราะห์จากสารเคมีทางวิทยาศาสตร์
การใช้ยา ใช้ยาธรรมชาติ ปริมาณน้อยมากๆ ในช่วงสั้นๆ และกระตุ้น ให้ร่างกายทำงาน ให้ยาระงับอาการ การแสดงออกของโรค อย่างต่อเนื่อง และจำนวนมาก
หลักการออกฤทธิ์ และการทำงานของยา ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นให้ร่างกาย สามารถรักษาตนเองได้ (healing process) เป็นการอาการของโรคที่เกิดขึ้นไม่ให้ปรากฎ

โฮ มีโอพาธีย์กำเนิดที่ประเทศเยอรมันนี โดยหมอ แซมมวล ฮาน์เนอมานน์แรกเริ่มเขาเป็นแพทย์แผนปัจจุบันสมัยนั้น แต่ก็เลิกอาชีพไป เพราะพบว่ารักษาด้วยวิธีในสมัยนั้นแล้วคนไข้มักจะตายมากกว่ารอด วิธีการรักษาในสมัยนั้นได้แก่ การกรีดเลือดเสียทิ้ง การใช้ทากดูดเลือด การให้ยาให้อาเจียนออก การให้ยาเพื่อให้ระบายพิษออก

ด้วย ความที่ฮาน์เนอมานน์มีพรสวรรค์ในการอ่านภาษาต่างๆถึง 13 ภาษา เขาจึงเปลี่ยนอาชีพจากหมอไปเป็นนักแปลแทน งานเขียนที่ก่อให้เกิดความสงสัยและบันดาลให้เขาเริ่มวิธีรักษาแบบโฮมีโอพา ธีย์ก็คือตำราทางเภสัชศาสตร์ที่บอกว่าสมุนไพรเปลือกต้นซิงโคนา ที่นำมาทำยาควินินรักษาโรคมาลาเรียได้เพราะว่ามีฤทธิ์ฝาดสมาน
ฮา เนอมานน์เกิดความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะจากความรู้ของเขา สมุนไพรอื่นที่มีฤทธิ์ฝาดสมานกว่าตั้งมากมายไม่สามารถรักษาโรคมาลาเรียได้ สุดท้ายเขาจึงทดลองกินเปลือกต้นซิงโคนาแล้วจึงพบว่าเมื่อกินเข้าไป ร่างกายที่ปกติของเขาเกิดอาการคล้ายกับโรคมาลาเรียทุกประการ เขาจึงตั้งสมมติฐานใหม่ขึ้นมาว่า ที่เปลือกต้นซิงโคนารักษามาลาเรียได้ อาจจะเป็นเพราะมีฤทธิ์ทำให้คนเกิดอาการเจ็บป่วยเหมือนโรคที่ใช้รักษา และทำการทดสอบอยู่หลายครั้งจนได้ข้อสรุปว่า Likes cure likes อันเป็นปรัชญาสูงสุดของการรักษาแบบโฮมีโอพาธีย์
 
คำว่าโฮมีโอพาธีย์มาจากภาษาอังกฤษว่า Homeopathy ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก
 
Homeo + Pathos = similar + suffering = คล้าย + สิ่งที่ทำให้ทุกข์
ก็คือการรักษาด้วยสิ่งที่คล้ายกับสิ่งที่เราทุกข์
 
นอกจาก homeopathy ยังมีศัพท์อื่นๆที่คล้ายๆกันอีก คือ allopathy, isopathy, antipathy
– allopathy เป็นศัพท์ที่มักใช้เรียกกับการแพทย์แผนปัจจุบัน คือ การรักษาโดยใช้สิ่งที่ต่างจากสิ่งที่ทำให้เราทุกข์
– isopathy คือ การรักษาโดยใช้สิ่งที่เหมือนกันกับสิ่งที่ทำให้เราทุกข์มารักษา
– และ antipathy คือ การรักษาโดยใช้สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ทำให้เราทุกข์มารักษา
 
 
หลักการรักษา: Organon ,Repertory, Materia medica
การจะรักษาอาการป่วยด้วยวิธีแบบโฮมีโอพาธีย์ จะต้องมีความรู้องค์ประกอบจากหนังสืออยู่ 3ประเภท คือ
1.Organon of medicine หรือตำราทฤษฎีของการรักษาแบบ homeopathy
2.Materia medica หรือ พจนานุกรมรวบรวมว่ายานี้ใช้รักษาอาการใดได้บ้าง
3.Repertory หรือหนังสือรวมรวมอาการแล้วบอกว่ามียาใดบ้างที่ใช้รักษาอาการนี้
 
ยกตัวอย่าง
Materia medica
ยา ก. ทำให้มีอาการปวดหัวตุ๊บๆ นอนไม่หลับเพราะมีความคิดวิ่งอยู่ในหัวตลอดเวลา น้ำมูกไหลเวลากลางวัน คัดจมูกเวลากลางคืน
ยา ข. ทำให้มีอาการปวดหัว น้ำมูกไหลตลอดทั้งวัน และมีอาการน้ำตาไหลด้วย
 
ถ้าเป็น Repertory
หัว – ปวด: ก. ข.
หัว – ปวด – ตุ๊บๆ: ก.
จมูก – น้ำมูกไหล: ก. ข.
จมูก – น้ำมูกไหล – ร่วมกับน้ำตาไหล: ข.
จมูก – น้ำมูกไหล – น้ำมูกไหลตอนกลางวัน แต่กลางคืนคัดจมูก: ก.
การนอน – นอนไม่หลับ: ก.
 
จะเห็นว่า materia medica กับ repertory เป็นของเดียวกันแต่มองกันคนละด้าน
อย่าง ไรก็ดี การจะเลือกยาโฮมีโอพาธีย์ให้เหมาะกับคนไข้ ให้หายป่วยได้นั้น ต้องมองอย่างเป็นองค์รวมมาก เอาอาการแต่ละอาการมาประกอบเข้าด้วยกัน จนได้ภาพของยาที่เหมือนกับลักษณะที่โดดเด่น เป็นจำเพาะของคนไข้ โดยเน้นลักษณะนิสัยใจคอและจิตใจเป็นสำคัญ
 
การพิสูจน์ยา Drug proving
การ จะรู้ว่ายามีฤทธิ์ช่วยอะไรได้บ้าง ในทางโฮมีโอพาธีย์จะพิสูจน์ก่อนว่ายาทำให้เกิดผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง กระบวนการนี้จะต่างจากการแพทย์ที่เราคุ้นเคย คือแทนที่จะนำผู้ป่วยมาทดสอบกินยาแล้วดูว่าได้ผลดี ไม่ได้ผล หรือเกิดผลลบ การพิสูจน์ยาจะใช้อาสาสมัครที่มีสุขภาพแข็งแรง สภาวะทางจิตดี ไม่ได้รับประทานยาประจำ มาเข้าร่วม
อาสา สมัครจะทำการกินยาโฮมีโอพาธีย์โดยไม่ทราบว่ายานั้นคือยาอะไร ยาจะมีผลอย่างไร กินยาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป ยาจะเหนี่ยวนำให้อาสาสมัครนั้นมีอาการจากยาออกมา
อาการที่ออกมาจะมีทุกรูปแบบ บางคนอาการมาก บางคนอาการน้อย
ผู้ วิจัยจะเก็บข้อมูลที่อาสาสมัครทุกคนมารวบรวมกลายเป็นภาพของยา หากเจอผู้ป่วยที่มีอาการเข้ากันได้กับภาพของยา เมื่อให้ยานี้ก็จะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้นได้
เมื่อครบกำหนดเวลาวิจัย อาการจากยาก็จะสลายไปเอง อาสาสมัครจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติของตน
 
Totality ลักษณะของความเป็นองค์รวม
ทุกสิ่งที่เป็นมนุษย์ ไม่ว่าร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความเจ็บป่วย ความทุกข์ทรมาน รวมกันเป็นหนึ่ง
 
 
 
 
ใน สภาพปกติ ชีวิตเราจะดำรงอยู่ได้เป็นปกติสุข อยู่ในภาวะสมดุลย์ แต่สมดุลย์นี้ไม่ใช่สมดุลย์หยุดนิ่ง แต่เป็นสมดุลย์ที่เคลื่อนไหว เหมือนตาชั่ง หรือกระดานหกที่มีน้ำหนักถ่วงดุลย์กันอยู่สองด้าน
 
 
เมื่อ ใดที่ชีวิตเกิดการเสียสมดุลย์ ไม่ว่าจะเป็นจากสิ่งภายนอก เช่น อุบัติเหตุ สารเคมี มลพิษ อารมณ์จากสิ่งแวดล้อม ฯลฯ จะทำให้จุดสมดุลย์ของร่างกายขยับตาชั่งเริ่มเอียง หากปล่อยเอาไว้เช่นนี้ย่อมทำให้ตาชั่งล้มลง
ชีวิตย่อมอยู่ไม่ได้
 
 
ชีวิต จึงทำการเพิ่มส่วนต่างขึ้นมา เป็นอาการต่างๆที่แสดงออกมา ให้รับกันพอที่กับจุดสมดุลย์ที่เปลี่ยนไป แต่โดยทั่วไปเรามักมองว่า ส่วนต่างที่เพิ่มมานั้นเป็นโรคที่เกาะชีวิตเราเพิ่ม
หาก มีอาการปวดหัวไมเกรน ปวดประจำเดือน ก้อนที่เต้านม เวียนหัว โกรธง่ายหงุดหงิด นอนหลับยาก โดยทั่วไปเรามักมองว่ามีโรคอยู่ในชีวิตเรา 6 โรค ถ้าจะรักษาตามแผนปัจจุบันต้องใช้ยา 6 ชนิด
 
 
แต่ หากมองในมุมมองแบบโฮมีโอพาธีย์แล้ว อาการที่ออกมาทั้ง 6 อย่างที่กล่าวมา ก็คือ อาการที่เป็นสืบเนื่องมาจากการเสียสมดุลย์เพียงอย่างเดียว และอาการที่กล่าวมาทำหน้าที่ให้ชีวิตยังคงอยู่ในสมดุลย์ที่ผิดปกติได้
การ รักษา ต้องหายาเพียงตัวเดียวที่จะดันสมดุลย์ที่เคลื่อนที่ไปจากจุดเดิมกลับเข้าที่ และแน่นอนว่ารวมถึงหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยอันเนื่องจาก ดำเนินชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมด้วย
 
 
เมื่อ หายาที่เหมาะสมกับองค์รวมของชีวิตที่ทุกข์ น้ำหนักเท่ากันพอดีกับจุดเคลื่อนของสมดุลย์ ก็จะทำให้สมดุลย์กลับเข้าสู่ที่เดิม เมื่อสมดุลย์เข้าที่เดิม ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีอาการทุกข์ต่างๆมาถ่วงอีกต่อไป ชีวิตจะหดเอาอาการเหล่านั้นกลับไป อาการปวดหัวไมเกรน ปวดประจำเดือน ก้อนที่เต้านม เวียนหัว โกรธง่ายหงุดหงิด นอนหลับยาก ก็จะหายไปเองจากการจัดการของพลังชีวิตของเราเอง